PAPA PAPER นวัตกรรมจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลดหมอกควันและฝุ่น PM 2.5
ธุรกิจแนวคิด ESG นวัตกรรมเยื่อกระดาษจากวัสดุธรรมชาติ-รีไซเคิล เจาะเทรนด์ตลาดโลกร้อน
![](/images/t1.png)
![](/images/t2.png)
![](/images/t3.jpg)
![](/images/t4.png)
![](/images/t5.jpg)
แบรนด์ ปาป้า เปเปอร์ PAPA PAPER
คุณธนากร เริ่มทำแบรนด์ PAPA PAPER ของตัวเองขึ้นมา โดยวาง Brand Positioning เป็นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เน้นผลิตสินค้าตามมาตรฐานส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น สำหรับตลาดในประเทศ จับกลุ่มลูกค้าโรงแรม และผู้ที่สนใจนำไปใช้ในงานตกแต่ง โดยแบรนด์ PAPA PAPER ใช้วัสดุที่ผลิตกระดาษจากเยื่อธรรมชาติ ทั้ง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กล้วย เยื่อไผ่ และฟาวข้าวเหลือทิ้งทางการเกษตร นำมาเพิ่มมูลค่าผ่านนวัตกรรมการผลิตและออกแบบสินค้า รองรับตลาดที่ใส่ใจโลก รวมถึงตลาดต่างประเทศที่มีกฎระเบียบและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม สอดรับกับเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์(Mega Trend ) ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ และปรับตัวไปในทิศทางนี้ ต้นทุนการผลิต เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบรนด์เราสามารถแข่งขันได้ โดยโรงงานมีศักยภาพในการผลิตประมาณ 1 แสนยูนิตต่อเดือน มีการบริหารจัดการเพื่อให้ได้ Productivity ของสินค้าตามต้องการ จึงเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันและมีกำไร เป็นความสามารถในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีเสถียรภาพ
![](/images/t61.jpg)
![](/images/t62.png)
นวัตกรรมเยื่อกระดาษใส่ใจโลก ECO FRIENDLY PRODUCT
คุณธนากร กล่าวว่า การใช้นวัตกรรม ไม่เพียงผลิตเยื่อกระดาษจากวัสดุธรรมชาติเหลือทิ้ง แต่ยังสามารถรีไซเคิลกล่องกระดาษเป็นวัตถุดิบเยื่อกระดาษเพื่อผลิตเป็นสินค้า จุดแข็งเหล่านี้ จึงยากที่จะมีผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกัน ผลิตสินค้าแข่งกับเราได้ โดยมีสินค้าได้แก่ เยื่อกระดาษ กระดาษเปเปอร์ บอร์ด (กระดาษจั่วปัง) ไส้ในของกล่องหรือแฟ้ม กระดาษกันกระแทกทดแทนโฟม ถุงกระดาษ และบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เป็นต้น การผลิตเยื่อกระดาษ เป็นการลอกเลียนจากนวัตกรรมสิ่งทอที่สามารถเพิ่มเส้นใยให้กระดาษมีความคงทน แข็งแรง ลวดลายและสีสันสวยงาม ผลิตภัณฑ์ของเรา เน้นทำเหมือนร้านอาหารตามสั่ง โดยสามารถผลิตได้ตามแนวคิดของลูกค้า จากวัสดุหลากหลายประเภท เช่น ใบข้าวโพด ฟางข้าว ปอสา ไผ่ ต้นกล้วย ใบสับปะรด ผักตบชวา ถั่วลิสง มะพร้าว แม้กระทั่ง เปลือกทุเรียน โดยใช้นวัตกรรมเปลี่ยนวัสดุเป็นเยื่อ เพื่อผลิตเป็นกระดาษที่พัฒนารูปแบบให้ตอบโจทย์ความต้องการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ สำหรับวัตถุดิบ ควรหาจากแหล่งต้นน้ำในประเทศ และสิ่งนั้นต้องสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน โดยบริษัทเรารวบรวม และรับซื้อใบข้าวโพดมาผลิตเป็นเยื่อกระดาษ พัฒนา ปรับเปลี่ยนรูปแบบ เพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
![](/images/t7.jpg)
จูงใจไร่ข้าวโพด ลดการเผา
PAPA PAPER เน้นทำงานร่วมกับชุมชน อาทิ การจูงใจให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ไม่เผาไร่ ลดปัญหาหมอกควัน และ PM 2.5 ช่วงแรก ๆ ต้องใช้เวลาในการปรับทัศนคติ และทำความเข้าใจ เพื่อให้ชาวไร่ข้าวโพดเปิดใจและร่วมมือกับเรา ซึ่งการเผาไร่ข้าวโพดหลังเก็บเกี่ยว เป็นการลดต้นทุนในการปรับสภาพพื้นที่เพาะปลูกรอบใหม่แบบง่าย ๆ ของเกษตรกร ดังนั้น การเปลี่ยนพฤติกรรมจึงต้องสร้างแรงจูงใจขึ้นมา โดยให้ราคาใบข้าวโพดที่ 1,000 บาท/ตัน ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย อาทิ การร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนหมู่บ้านต้นเปา จ.เชียงใหม่ เก็บรวบรวมใบข้าวโพดไว้เพื่อจำหน่ายให้แก่โรงงาน ในราคาที่เกษตรกรพอใจ
![](/images/t8.jpg)
ความสามารถของธุรกิจ ไม่ใช่เพียงแค่นำนวัตกรรมมาเพิ่มมูลค่าที่ตอบโจทย์ตลาดได้ แต่ยังมีมิติของการทำงานร่วมกับสังคม เกษตรกร หน่วยงานรัฐในท้องถิ่น ผ่านข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างบริษัท เกษตรกร และหน่วยงานรัฐในท้องถิ่นภาคเหนือ เพื่อจัดการและเก็บรวบรวมเปลือกข้าวโพด เพื่อสร้างซัพพลายเชนวัตถุดิบที่สามารถผลิตเป็นเนื้อเยื่อกระดาษได้ ทั้งยังช่วยลดการเผาไร่ในพื้นที่ปลูกข้าวโพดทางภาคเหนือของไทย
![](/images/t9.jpg)
Carbon Footprint เปิดโอกาสตลาดต่างแดน
ปาป้า เปเปอร์ เรามองว่า ลูกค้าหลักของเรากว่า 90 % เป็นตลาดส่งออกเยื่อกระดาษในต่างประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรป และเรามีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Product) หรือฉลากคาร์บอน (Carbon Label) เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้แข่งขันได้ เราตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้าธุรกิจจะสามารถทำรายได้ในตลาดต่างประเทศมากกว่า 400 ล้านบาท ซึ่ง 25 % ของรายได้ เราจะกระจายให้แก่ชุมชนในรูปแบบของการรับซื้อใบข้าวโพด และเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาผลิตเป็นเยื่อกระดาษเพื่อส่งออก
“ธุรกิจเน้นแนวคิด ESG เราส่งเสริมสังคม ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม มีธรรมาภิบาล มุ่งพัฒนามาตรฐานและระเบียบให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน”
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนเยื่อกระดาษจากเศษเหลือทิ้งทางการเกษตร มีต้นทุนสูงกว่าเยื่อกระดาษจากต้นยูคาลิปตัส ประมาณ 15 % เนื่องจากต้องใช้กระบวนการมากกว่า แต่ข้อดีคือ ทำให้เรารีเทิร์นเป็นการลดค่าภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และ ฉลากคาร์บอนให้แก่ลูกค้าต่างประเทศได้ และด้วยลูกค้าหลักเป็นตลาดส่งออก ดังนั้น มองว่าส่วนนี้จะเพิ่มมูลค่าให้ลูกค้าได้มากกว่า หากเปรียบเทียบกับต้นทุนราคารับซื้อคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ซึ่งในตลาดญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกามีการรับซื้อที่ตันละ 1,500-2,000 บาท ขณะที่ประเทศไทยรับซื้อที่ตันละ 700 บาทซึ่งไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ
และเรามองเห็น โอกาสธุรกิจจะมาถึง เมื่อประเทศไทยประกาศเป็นตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Mandatory carbon market) คือ ตลาดคาร์บอนที่ซื้อขายโดยได้รับการรับรองกฎหมาย (Mandatory Basis) ที่จะมีข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และอนุญาตให้ผู้ซื้อ สามารถนำคาร์บอนเครดิตที่ซื้อมาหักล้างกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ตนปล่อยออกไป เพื่อลดระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ไม่เกินที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ ถึงตอนนั้น มูลค่าการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นทิศทางที่ธุรกิจเราตั้งใจว่าจะไปในแนวทางนั้น
![](/images/t10.jpg)
“ผมมีความเชื่อว่า มีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่พร้อมร่วมงานกับแบรนด์ PAPA PAPER เพียงแต่เส้นทางใน 3 ปีหลังจากนี้ เราต้องเดินไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คือเตรียมพร้อม และพัฒนามาตรฐานให้เป็นสากล สอดคล้องกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ เพื่อดึงดูดคู่ค้าที่ตระหนักเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม และคิดแบบเดียวกับเรา มาร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจให้เติบโตไปได้”
สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) เป็นแนวคิดและความต้องการของสังคมใหม่ และนำไปสู่การออกกฎระเบียบ หรือมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ที่จะมีผลในทางกฎหมาย ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องพบเจอมากขึ้นในอนาคต ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายบังคับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่หากพิจารณาจากแนวโน้ม เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็ว จะต้องเกิดขึ้น และวันนั้น ธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมาก จะต้องมองหาพันธมิตร เพื่อเข้ามาแก้ปัญหาด้านนี้
![](/images/11.png)